Pages

Sunday, August 30, 2020

จับตาการเมือง พิษโควิด-19 ถาโถม "หุ้นไทย" ตัวไหนที่ยังพอไปรอด - ไทยรัฐ

tasisuper.blogspot.com

แน่นอนว่า 'วัคซีน' ยังเป็นความหวังของทุกคน ที่ไม่เพียงในแง่สาธารณสุข แต่ ตลาดหุ้น ก็ด้วยเช่นกัน เพราะเพียงแค่มีข่าวความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ก็ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ดีดเพิ่มขึ้น 18.71 จุด ปิดที่ 1,377 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 64,234.77 ล้านบาท

ต่อมาเมื่อมีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดประยุทธ์ 2/2 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม แม้จะแรงซื้อเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังได้รับแรงกดดันและแรงขายทำกำไรจาก Sell on fact ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันที่เพิ่มขึ้นในหลายๆ ประเทศ ก็ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปิดลบ 4.13 จุด อยู่ที่ 1,333.22 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 55,061.19 ล้านบาท

และหลังจากปิดลบต่อเนื่องหลายวัน พอมาวันที่ 13 สิงหาคม ตลาดหุ้นไทยก็กลับมาเคลื่อนไหวแดนบวกตลอดทั้งวัน จากข่าวดี 'รัสเซีย' ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,346.69 จุด เพิ่มขึ้น 9.85 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 77,812.76 ล้านบาท

แต่เพียงไม่นานมาวันที่ 19 สิงหาคม ดัชนีหุ้นไทยก็ดิ่งหนัก เกือบหลุดกรอบ 1,300 ต่ำสุดอยู่ที่ 1,301.97 จุด มีการเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่มีแรงเทขายอย่างหนัก หลัง 'กรมควบคุมโรค' ได้รับรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เคยอยู่ State Quarantine ครบกำหนด 14 วัน และเมื่อออกมาใช้ชีวิตปกติได้ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปิดลบ 21.44 จุด อยู่ที่ 1,308.67 จุด มูลค่าซื้อขาย 57,283.62 ล้านบาท

ก่อนจะหลุดกรอบ 1,300 ในวันต่อมา (20 ส.ค.) ที่ยังแรงกดดันจากรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,296.79 จุด ลดลง 11.88 จุด มูลค่าซื้อขาย 49,084.96 ล้านบาท

จากนั้น 2 วันถัดมา ก็เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยวันที่ 24 สิงหาคม มีแรงซื้อหุ้นใหญ่หนุน รวมถึงแรงซื้อเก็งกำไรจากฟุตซี่รับน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย (มีผลบังคับใช้ 18 ก.ย.) และการคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ครม.ชุดใหม่ ส่งผลให้ปิดบวก 17.85 จุด อยู่ที่ 1,317.11 จุด มูลค่าซื้อขาย 57,078.23 ล้านบาท

และสัปดาห์สุดท้ายสิ้นเดือน วันที่ 28 สิงหาคม ตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวทั้งแดนบวกและลบ แม้ช่วงแรกจะมีแรงหนุนจากความคืบหน้าอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แต่ช่วงบ่ายกลับมีแรงเทขายทำกำไร ทำให้ดัชนีหุ้นไทยพลิกลบ 3.50 จุด อยู่ที่ 1,323.31 จุด มูลค่าซื้อขาย 54,673.10 ล้านบาท

แล้วทิศทาง 'ดัชนีตลาดหุ้นไทย' จะเป็นอย่างไร?

จากการคาดการณ์ของบรรดา บล. แล้ว ประเมินกันไว้ว่า ช่วงสัปดาห์นี้จะมีแนวรับอยู่ที่ 1,310 จุด และแนวต้าน 1,335 จุด ซึ่งประเด็นที่ต้องจับตาหลักๆ คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 53,786.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.73%

ส่วนทิศทาง 'หุ้น' แต่ละกลุ่มจะเป็นอย่างไร?

เปิดบทวิเคราะห์จาก กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)ฯ

กลุ่มธนาคารและประกัน: ปกติเป็นกลุ่มที่มีผลต่อบอนด์ยีลด์ที่เขยิบขึ้น ฉะนั้น เวลาที่บอนด์ยีลด์บวกขึ้นจะบวกต่อการเก็งกำไรในกลุ่มธนาคารและประกัน แต่ถามว่า "อะไรดูดีกว่า?" ตอบเลย "ประกันดูดีกว่า!" ผลคือ ภาพของกำไรประกันชีวิตเป็นขาขึ้นอยู่ ในขณะที่ กำไรของกลุ่มธนาคารเป็นขาลง กำไรในไตรมาส 2 แย่กว่าไตรมาส 1 กำไรในไตรมาส 3 แย่กว่ากำไรในไตรมาสที่ 2 กำไรในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ น่าจะยังแย่ที่สุดของปี ฉะนั้น กลุ่มธนาคารยังเดินหน้าไปสู่กำไรที่เลวร้ายกว่านี้ ลักษณะนี้การฟื้นกำไรของธนาคาร ที่เทคนิคคอลรีบาวน์ขึ้นได้ในขาลง แต่ไม่ใช่การปรับแนวโน้มไปเป็นขาขึ้นง่ายๆ แต่ถามว่า "ฟื้นได้ไหม?" ฟื้นได้ เพราะบอนด์ยีลด์หนุน และสถานะของนักลงทุนที่มีในกลุ่มธนาคารน่าจะน้อยมาก ถ้าเอาปลอดภัย เอาสบายใจ ก็ BBL เพราะว่า BBL เวลามีการเปลี่ยนแปลงยีลด์ ราคาหุ้นค่อนข้างมีการตอบรับตอบสนองที่ดี ขณะเดียวกันเชิงปัจจัยพื้นฐาน ผลกระทบที่จะเกิดมองว่ามีน้อยกว่าธนาคารอื่นๆ ส่วนกลุ่มประกัน ชอบหุ้นประกันภัยมากกว่าประกันชีวิต อย่าง TIP และ THRE ช่วงสั้นฟื้นได้หมด

กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี: เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้เงินบางส่วนจะไหลเข้าเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันดิบได้ แต่ต้องดูด้วยว่า "คนเชื่อไหมว่าเศรษฐกิจดีจริง?" คิดว่าคนไม่เชื่อ คนคิดว่าเงินเฟ้อมา แต่ไม่ได้น่ากลัวมากนัก จะเกิน 2 บ้างก็นิดหน่อย นักลงทุนมองในเรื่องของการขึ้นของยีลด์ก็จริง แต่ไม่ได้เชื่อในเรื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ลักษณะแบบนี้ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะฟื้นได้ แต่ก็จะฟื้นแบบเหนื่อยๆ

กลุ่มโรงไฟฟ้า: ระยะสั้นอาจเป็นลบ เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นจะทำให้อัตราคิดลดสูงขึ้น จะส่งผลลบต่อการประเมินผลหุ้นในกลุ่มไฟฟ้าและกลุ่มที่ซื้อขายที่แพง เพราะฉะนั้น ระยะสั้นระวังนิดนึงว่าหุ้นที่แพงอาจเหวี่ยงได้ไกลเลย

กลุ่มสื่อสาร/กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/กองรีทส์: จริงๆ แล้วพวกนี้มีลักษณะที่คล้ายพันธบัตรนิดนึง ซึ่งการขึ้นของพันธบัตรเป็นลบกับการประเมินมูลค่าหุ้นในกลุ่มสื่อสาร/กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/กองรีทส์ แต่คิดว่าผลกระทบเชิงลบดังกล่าวน้อยมาก ขณะเดียวกันเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นพวกนี้ด้วย อย่างกองรีทส์และโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบัน บางทีได้ 7% ในขณะที่ซื้อบอนด์ที่เป็นพันธบัตรจริงๆ อาจได้ 2-3% ถึงแม้ระยะสั้นจะทำให้กลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากบอนด์ยีลด์ที่ขยับขึ้น แต่จะเป็นการลงที่เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นกลุ่มนี้ โดย WHAUP เป็นตัวหนึ่งที่ชอบ

ภาพรวมแล้วการเก็งกำไรยังคงควรระวังความผันผวนระยะสั้นจากทิศทางค่าเงินสหรัฐฯ และผลตอบแทนพันธบัตรที่มีโอกาสปรับขึ้น โดยหุ้นแนะนำเก็งกำไรยังเป็น TIP, CRC, CPF และ TU

"ถ้าใครเก็งกำไรกลุ่มการบิน ผลจากสายการบินเข้าพบนายกรัฐมนตรี ภาพรวมก็อาจเป็นบวก แต่ถ้าเลือกเก็งกำไรจากกลุ่มนี้ก็ควรเลือกที่เป็นจ่าฝูง AAV มีโอกาสในการที่จะเป็นผู้ชนะของอุตสาหกรรมการบินหลังทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว ซึ่งไม่ง่ายและไม่เร็ว ถ้าเก็งกำไรก็ต้องหลับตาเลือกไปข้างหนึ่งเลย".

ผู้เขียน: เหมือนพระอาทิตย์

Let's block ads! (Why?)



"พอ" - Google News
August 31, 2020 at 07:46AM
https://ift.tt/3lzr9Zy

จับตาการเมือง พิษโควิด-19 ถาโถม "หุ้นไทย" ตัวไหนที่ยังพอไปรอด - ไทยรัฐ
"พอ" - Google News
https://ift.tt/2AxnV60

No comments:

Post a Comment